Michelin Guide 5 เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “ดาวมิชลิน” ผ่านหูกันมาบ้างแล้ว เพียงแค่ได้ยินคำนี้ หลายคนก็แทบจะรู้สึกแล้วว่า ต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ อย่างไรก็ตาม จะมีซักกี่คนที่รู้ถึงที่มาที่ไปของดาวดวงนี้จริงๆ ว่ามันสำคัญแค่ไหน คืออะไรกันแน่ วันนี้เราจะมาเจาะลึกให้รู้เบื้องหน้าเบื้องหลังสไตล์ SOtraveler กันครับ
Michelin Guide 5 คืออะไร มีที่มาจากไหน?
Michelin Guide 5 เปรียบเสมือนดาวบนบ่าของนายทหาร เป็นรางวัลที่มอบให้แก่ร้านอาหารยอดเยี่ยมชั้นเลิศที่ผ่านมาตรฐานของ มิชลิน ไกด์ (Michelin guide) เดิมทีรางวัลนี้มีไว้เพื่อเป็นกุศโลบายเชิญชวนให้คนขับรถออกไปทานอาหารนอกบ้าน ซึ่งเป็นแนวคิดริเริ่มของบริษัทยาง Michelin นั่นเอง! เพราะยิ่งมีจำนวนคนใช้รถมากขึ้น ก็แปลว่าต้องใช้ยางมากขึ้นเช่นกัน แนวคิดนี้อาจฟังดูแปลก และเป็นการโน้มน้าวทางอ้อมที่ดูไม่น่าจะเห็นผลซักเท่าไหร่ แต่ผลลัพธ์ของมันกลับดีอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะภายในหนึ่งปีที่มีการเริ่มต้นประกาศมอบรางวัลมิชลินให้แก่ร้านอาหารต่างๆนั้น มีผู้คนมากมายเริ่มเดินทางออกนอกบ้านเพื่อไปลองทานอาหารที่ขึ้นชื่อว่า “เป็นร้านอาหารระดับมิชลิน” มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“Michelin Star” เริ่มต้นในประเทศฝรั่งเศสและแผ่ขยายมากขึ้นในประเทศในแถบยุโรป แต่เดิมแล้วรางวัลดาวมิชลินนั้นมีเพียงดาวเดียวเท่านั้น เพื่อเป็นเกียรติแก่ร้านอาหารที่ขึ้นชื่อและมีมาตรฐานยอดเยี่ยม ก่อนจะมาพัฒนาเพิ่มเติมเป็น 2 ดาว และ 3 ดาวในภายหลัง ทั้งนี้ทั้งนั้นรางวัลดาวมิชลินแต่ละดาวย่อมมีความหมายต่างกันโดยที่ใครหลายคนอาจไม่รู้อย่างกระจ่างแจ้ง ซึ่งก็คือ
- รางวัลดาวมิชลิน 1 ดาว : “ร้านอาหารที่ดีที่สุดในร้านอาหารประเภทเดียวกัน”
- รางวัลดาวมิชลิน 2 ดาว : “ร้านอาหารที่ยอดเยี่ยม ในระดับที่คุ้มค่าที่จะเดินทางไปกิน”
- รางวัลดาวมิชลิน 3 ดาว : “ร้านอาหารที่ดีเลิศ ต่อให้ไกลแค่ไหน สักครั้งในชีวิตก็ควรเดินทางไปกิน”
หากได้ยินใครพูดว่าเคยไปกินร้านอาหารระดับมิชลิน 5 ดาวมาแล้ว เราก็จะรู้ได้เลยว่าเป็นการคุยโม้อย่างแน่นอน
ในส่วนของการประเมินผลนั่นคือเสน่ห์ของรางวัลนี้ เพราะนักชิมทุกคนที่เดินทางไปชิมจะไม่เปิดเผยตัวตนหรือแจ้งให้ทราบล่วงหน้า พวกเขาจะต้องเก็บข้อมูลส่วนบุคคลไว้เป็นความลับและไม่เปิดเผยต่อใคร แม้แต่ญาติของตัวเองด้วยเพื่อป้องกันความไม่เท่าเทียมกันในการประเมิน นักชิมเหล่านี้ส่วนใหญ่มีงานที่มั่นคง รายได้ดี และมีเวลาเดินทางไปที่ต่างๆ เพื่อไปชิมอาหารอยู่เสมอ แต่ละคนจะต้องเข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตร 6 เดือนที่จัดโดย Michelin Guide และต้องปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัดตลอดเวลา
เช่นเดียวกับใน ประเทศไทย เอง เนื่องจากเราได้ร่วมงานกับร้านอาหารต่างๆ ที่ได้รับรางวัลมิชลิน พบว่าเป็นครั้งแรกที่มีตัวแทนจากมิชลิน คู่มือชิมจะมาที่ร้านหลังจากชิมเสร็จ ตัวแทนจะแจ้งให้ร้านค้าทราบว่าตนเป็นตัวแทนและได้เข้าเยี่ยมชมแล้ว หลังจากนี้คงจะมีให้ชิมอีกและจะไม่ปรากฏตัวอีก ดังนั้นร้านอาหารจึงต้องรักษามาตรฐานที่ดีทั้งในด้านอาหาร การบริการ และบรรยากาศ
การประเมินร้านอาหารแต่ละร้านนั้นจะมีหลักเกณฑ์อยู่ 5 ข้อหลักๆ ดังนี้
1. Michelin Guide 5 คุณภาพของวัตถุดิบที่ใช้ปรุงอาหาร สำหรับวงการการทำอาหารแล้ว วัตถุดิบที่ใช้ในการปรุงถือเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะยิ่งมีวัตถุดิบเลอค่าในครอบครองมากเท่าไหร่ ก็จะสามารถปรุงอาหารให้มีรสชาติดีได้มากขึ้นเท่านั้น
2. ความโดดเด่นของรสชาติ และเทคนิคการปรุงอาหาร แน่นอนว่าเชฟคนไหนก็สามารถปรุงอาหารได้ทุกคน แต่จะมีซักกี่คนที่มีเอกลักษณ์และเทคนิคเป็นของตัวเอง ที่จะสามารถดึงเอารสชาติของอาหารและวัตถุดิบออกมาได้มากที่สุด
3. เอกลักษณ์เฉพาะตัวของเชฟที่สะท้อนออกมาจากอาหารและประสบการณ์ที่ได้รับจากการทานอาหารมื้อนั้น
อาหารบางจานอาจแสดงออกถึงความเอาใจใส่และความตั้งใจของเชฟผ่านรสชาติและการรังสรรค์ ยิ่งไปกว่านั้นการที่เชฟมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเป็นของตัวเอง จะยิ่งทำให้อาหารมื้อนั้นเป็นที่น่าจดจำของคนที่มากินมากยิ่งขึ้น
4. ความเหมาะสมและคุ้มค่าในราคา
หลักเกณฑ์ข้อนี้ถือว่าเป็นข้อที่วัดผลได้ยากมาก เพราะอาหารที่เลอค่าส่วนมาก ล้วนมีราคาแพงและยากที่จะจับต้องได้ แต่ก็ยังมีอาหารบางจานที่ต่อให้ราคาสูงแค่ไหนก็ยังเรียกได้ว่าคุ้มที่จะลิ้มลอง เพราะคุณภาพและรสชาตินั้นอร่อยเกินบรรยายได้ครบความรู้สึกที่สัมผัสได้
5. ความสม่ำเสมอและความคงเส้นคงวาของรสชาติอาหาร
แน่นอนที่สุดว่ารสชาติของอาหารนั้น ถือเป็นหลักเกณฑ์ที่สำคัญที่สุดในการประเมินอาหาร แต่การรักษามันไว้ไม่ให้ดรอปลงนี่สิ ที่สำคัญไม่แพ้กัน การที่นักชิมเดินทางไปชิมในฐานะลูกค้าธรรมดาทั่วไปนั้น ถือเป็นการทดสอบความสม่ำเสมอของรสชาติอาหารของแต่ละร้าน เพราะนักชิม 1 ท่านจะเดินทางไปชิมร้านหนึ่งร้านมากถึง 4 ครั้งภายในระยะเวลา 1 ปีเพื่อทดสอบความคงเส้นคงวาของรสชาติอาหารว่าอยู่ในเกณฑ์ยอดเยี่ยมเหมือนเดิมหรือไม่
รางวัล Michelin Star จะมีอายุเพียงแค่ 1 ปีเท่านั้น หากร้านอาหารร้านใดมีคุณภาพต่ำลงหรือไม่ผ่านเกณฑ์ก็จะถูกยึดดาวมิชลินโดยทันที ในปัจจุบันนี้มีร้านอาหารมากมายทั่วทุกมุมโลกที่ได้รับรางวัล Michelin Star และผู้ที่ได้รับการยกย่องจากรางวัลอันทรงเกียรตินี้ก็คงหนีไม่พ้นหัวหน้าเชฟของแต่ละร้านอาหารนั่นเอง วันนี้เราจะมาดูกันว่าใครคือ 5 อันดับเชฟผู้ที่ถือครอง “ดาวมิชลิน” มากที่สุดในโลกประจำปี 2018 กันแน่ เริ่มต้นจากอันดับ 5